ต่อมาในปี 2003 (พ.ศ. 2546) ชาริล ชัปปุยส์ ก็ได้โอกาสเข้าสู่สโมสรระดับ Swiss Super League อย่าง Glasshopper ซึ่งถือเป็นทีมชั้นนำของประเทศ จนเมื่อปี 2009 (พ.ศ.2552) ก็เปลี่ยนจากนักเตะระดับเยาวชนสู่ทีมชุดใหญ่ของสโมสรเต็มตัว และในปี 2011 (พ.ศ. 2554) เขาได้ย้ายไปเล่นให้กับ FC Locarno สโมสรใหญ่ในสวิตเซอร์แลนด์ด้วยสัญญายืมตัว ก่อนที่จะย้ายมาเล่นให้กับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ยอดสโมสรในไทยลีก ในปี 2013 (พ.ศ. 2556) ด้วยสัญญา 2 ปี แถมยังเป็นกำลังสำคัญของทีมปราสาทสายฟ้าในการคว้าแชมป์ต่าง ๆ ในปีนี้อีกด้วย
ชาริล ชัปปุยส์ เคยถูกเรียกให้เข้าร่วมทีมชาติไทย โดยวินฟรีด เชฟเฟอร์ อดีตหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทยเพื่อเข้าร่วมศึกฟุตบอล AFC Asian Cup 2015 แต่เนื่องจากเขาเคยเล่นให้กับทีมชาติสวิสเซอร์แลนด์ในการแข่งขันฟุตบอลโลกรุ่น U17 มาก่อน จึงต้องให้ฟีฟ่าพิจารณาการเปลี่ยนสัญชาติ ซึ่งไม่ทันกับการแข่งขันในครั้งนั้น จึงยังไมได้ร่วมแข่งขันในนามทีมชาติไทย
หลังจากที่ฟีฟ่ารับรองให้ ชาริล ชัปปุยส์ เป็นนักเตะทีมชาติไทยเต็มตัว ซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง หัวหน้าฝึกสอนนักฟุตบอลทีมชาติไทยในขณะนั้น ก็เรียกให้ชาริลเข้าร่วมทีมชาติชุด U23 ซึ่งเขาได้ลงเล่นครั้งแรกในนามทีมชาติไทยชุด U23 อย่างไม่เป็นทางการ เมื่อครั้งที่ต้อนรับการมาเยือนของสโมสรบาร์เซโลน่าในเดือนสิงหาคม ก่อนที่จะเปิดตัวในนามทีมชาติอย่างเป็นทางการในนัดที่พบกับทีมชาติอูกันดา เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา และได้รับใช้ทีมชาติอีกครั้งในการแข่งขันซีเกมส์ครั้งที่ 27 ที่ประเทศพม่า
สไตล์การเล่นฟุตบอลของ ชาริล ชัปปุยส์ เป็นที่ยอมรับในหมู่แฟนบอลและนักฟุตบอลด้วยกัน ด้วยทักษะของกองกลางที่ครบเครื่อง ทั้งทักษะการครองบอลที่ยอดเยี่ยม ความฉลาดหลักแหลมในแบบของกองกลางที่พลิกรูปเกมจากรับเป็นรุกได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งยังจ่ายบอลแม่น เปิดบอลนิ่ง รวมถึงยิงประตูได้อย่างสวยงาม ซึ่งไอดอลในดวงใจของเขาก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนั่นคือ เชส ฟาเบรกาส ยอดกองกลางชาวสเปนแห่งสโมสร บาร์เซโลน่า ซึ่งมีสไตล์การเล่นแบบนี้เช่นกัน
ขณะนี้ ชาริล ชัปปุยส์ กลายเป็นกำลังสำคัญคนหนึ่งของทีมชาติไทยในชุดซีเกมส์ รวมถึงเป็นขวัญใจของแฟนบอลชาวไทยเป็นที่เรียบร้อย คราวนี้แฟนบอลทั้งชายและหญิงคงเริ่มหันมาจับตามองนักฟุตบอลรูปหล่อคนนี้กันมากขึ้นแน่นอน